รศ.ดร.นวลน้อย เน้นย้ำในประเด็นเดียวกับ ดร.นณริฏ ว่า หากรัฐบาลมีแผนจะเดินหน้าเปิดกาสิโน สิ่งสำคัญที่สุดคือการ “ควบคุมผลกระทบ” ทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ ปัจจุบันพบว่า มี “ช่องโหว่” สำคัญ คือ กลุ่มที่ผลักดันแนวคิดนี้มุ่งเน้นไปที่รายได้ที่คาดหวังว่าจะได้รับ แต่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน เช่น การกำหนดเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

จากข้อมูลในหลายประเทศ พบว่า “ลูกค้าหลัก” ของกาสิโนในเอเชียส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการหลายประการเพื่อสกัดกั้นไม่ให้พลเมืองของตนเดินทางไปเล่นกาสิโนในต่างประเทศ รวมถึงการออกกฎหมายควบคุมที่เรียกว่า “Remote Gambling” ซึ่งครอบคลุมถึงการพนันออนไลน์ โดยปกติแล้ว จีนไม่สนับสนุนการพนัน และรูปแบบการพนันที่ถูกกฎหมายเพียงอย่างเดียวในจีนคือ “ลอตเตอรี่”

รศ.ดร.นวลน้อย อธิบายเพิ่มเติมว่า หากมีการจัดทัวร์พานักพนันเดินทางไปเล่นกาสิโน รัฐบาลจีนจะมองว่าสิ่งนี้ผิดกฎหมาย ที่ผ่านมาจีนกดดันให้ฟิลิปปินส์ลดจำนวนใบอนุญาตสำหรับการพนันออนไลน์ที่มุ่งเป้าไปยังชาวต่างชาติ ขณะที่ “มาเก๊า” เองก็มีการลดจำนวนใบอนุญาตกาสิโนและลดระยะเวลาถือครองใบอนุญาตลง โดยเปลี่ยนแนวทางไปเน้นการท่องเที่ยวมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากกาสิโน

เมื่อย้อนกลับมาดูประเทศไทย ซึ่งมีแนวคิดใช้กาสิโนเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว คำถามคือ หากหวังพึ่งนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เนื่องจากจีนเองมีมาตรการเข้มงวดเกี่ยวกับการพนัน

“หากนักท่องเที่ยวจีนไม่เข้ามาเล่นตามที่หวัง สุดท้ายอาจต้องหันมากระตุ้นให้คนในประเทศเล่นแทน เพราะมีการลงทุนไปแล้ว และนี่คือสิ่งที่อันตราย”

ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การผลักดันกาสิโนต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นจริง เมื่อเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศ ก็ควรเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน บางฝ่ายถึงกับเสนอให้มีการจัด “ประชามติ” เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจร่วมกัน

ลองนึกภาพว่า หากสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งติดการพนัน ผลกระทบจะลุกลามไปทั้งครอบครัว อาจนำไปสู่ปัญหาสังคมและอาชญากรรม รายได้ไม่พอรายจ่าย และสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้น

สิ่งที่ควรมีในเวลานี้คือ กฎระเบียบและโมเดลที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่การกล่าวว่า รัฐบาลจะมีรายได้หลายแสนล้านบาท คำถามสำคัญคือ ตัวเลขดังกล่าวมาจากไหน? นักท่องเที่ยวกลุ่มใดจะเข้ามาเล่น? และหากเกิดสถานการณ์เช่นช่วงโควิด-19 ที่ต้องปิดประเทศ ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา รายได้จะมาจากไหน?

“ที่ผ่านมา กาสิโนในต่างประเทศพยายามกดดันให้รัฐบาลของตนเปิดโอกาสให้ประชาชนในประเทศเล่นการพนัน สิ่งที่รัฐบาลต้องทำ ไม่ใช่เพียงแค่พูดถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ต้องชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นด้วย”

กัญชา ตัวอย่างความล้มเหลว

อาจารย์นวลน้อยกล่าวว่า ก่อนจะเปิด “กาสิโน” สิ่งสำคัญคือต้องมีมาตรการควบคุมผลกระทบให้ชัดเจน อาจต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อออกกฎระเบียบต่างๆ ให้พร้อมก่อน ดีกว่าปล่อยเสรีไปก่อนแล้วค่อยตามแก้ปัญหาภายหลัง เหมือนกรณีของ “กัญชา” ซึ่งส่งผลให้เกิดความสับสนและปัญหาการควบคุม ประเทศที่มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับกาสิโน มักมาพร้อมแนวทางควบคุมที่เข้มงวดเสมอ

อาจารย์นวลน้อยยังกล่าวถึงแนวคิดที่รัฐบาลเสนอเกี่ยวกับการจัดตั้ง Entertainment Complex ซึ่งคล้ายกับโมเดลของสิงคโปร์และมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม แม้แต่ในสิงคโปร์ที่มีกาสิโน 2 แห่ง ทั้งสองแห่งก็มีความแตกต่างกัน โดยที่หนึ่งเป็น “สวนสนุก” ส่วนอีกแห่ง Marina Bay Sands เป็นศูนย์รวมความบันเทิงที่มีห้างสรรพสินค้า ศูนย์ประชุม โรงละคร และพื้นที่สำหรับการพนัน สิ่งสำคัญคือ ในสิงคโปร์ พื้นที่ที่ใช้สำหรับ “กาสิโน” มีเพียง 3% เท่านั้น

เมื่อย้อนกลับมาดูประเทศไทย ยังไม่มีการกล่าวถึงรายละเอียดเหล่านี้เลย Entertainment Complex จะมีการลงทุนด้านอื่นๆ อย่างไร? ไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ ทำให้เกิด “ความย้อนแย้ง” มากมายจนยากจะให้ความเห็น เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่มีการเสนอโมเดลที่ชัดเจน มีเพียงแค่การพูดถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องเร่งดำเนินการ ทั้งที่ยังไม่มีความพร้อม

“หากต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยว ก็ควรกำหนดให้ชัดเจนว่า คนไทยห้ามเล่น หรือหากต้องการให้ต่างชาติเล่น อาจเริ่มจากการเปิดในพื้นที่จำกัด เช่น สนามบิน หรือโรงแรมเฉพาะจุดในพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น พัทยา หรือภูเก็ต โดยไม่มีการประชาสัมพันธ์ในประเทศ และต้องเข้มงวดในการควบคุม ทดลองเก็บข้อมูลผลกระทบก่อน ที่สำคัญ ต้องมี กองทุนช่วยเหลือและบำบัดผู้ติดการพนัน รวมถึงมาตรการป้องกัน เช่น ห้ามบุคคลที่มีประวัติติดการพนันเข้าเล่น”